Birth of earth : บรมยุคกำเนิดโลก กัลป์สมัยมหายุค ขุมนรกแตก

 
   Birth of earth : บรมยุคกำเนิดโลก กัลป์สมัยมหายุค ขุมนรกแตก
 

คำประกาศ


เจตนาต้องการให้ผู้อ่านได้เข้าใจในเรื่องจริง และเกิดจิตสำนึก ร่วมช่วยกัน
ปกป้องรักษาระบบธรรมชาติ ที่ใช้เวลาพัฒนาการอย่างยาวนาน นับพันล้านปี
เพื่อใช้อย่างคุ้มค่า ประหยัดและได้รับประโยชน์ให้ยาวนานที่สุด
เพราะทรัพยากรธรรมชาติของโลก มนุษย์ไม่มีความสามารถสร้างเองได้เลย

วันนี้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายในระบบสุริยะ ซึ่งได้กำเนิดมาพร้อมโลก
ก็ไม่ประสบผลที่จะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต เช่นบนโลกได้ จึงมีข้อสรุปว่า
โลกเท่านั้น คือ ดาวเคราะห์สมบูรณ์แบบที่สุด ในระบบสุริยะ

และเราไม่สามารถที่จะ ย้ายหนีบ้านหลังใหญ่ หลังนี้ ไปไหนได้อีกแล้ว
จึงควรร่วมกันดูแล รักษาทรัพยากร บ้านหลังนี้อย่างเข้มงวด
ที่สุด

หากท่านเห็นว่า มีประโยชน์ต่อสังคม เพื่อตระหนัก และเข้าใจต่อการ
ร่วมกันรักษาสภาพแวดล้อมของโลก สามารถนำเผยแพร่ได้ สำหรับเพื่อ
การศึกษาเป็นความรู้ โดยอิสระ ไม่จำเป็นต้องขออนุญาต
ยกเว้นไม่อนุญาต เฉพาะในกรณีนำไปเพื่อประโยชน์ด้านการค้า

อนึ่งภาพประกอบบางส่วนได้รับการเอื้อเฟื้อจาก Don Dixon
ศิลปินเขียนภาพประกอบทางวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงของโลก
A very special thank you to Don Dixon


 
 
แม้ว่าในหลายคำภีร์ ของลัทธิต่างๆ พยายามอธิบายถึงการกำเนิดโลก ด้วยความ
มหัศจรรย์แบบพิเศษเพียงใด จากหลักฐานความเชื่อ บอกเล่าต่อกันมาอย่าง
ซับซ้อนของปรากฎการณ์ตามความเข้าใจแต่ละยุค คงปฎิเสธไม่ได้ถึงความเพียร
พยายามที่จะอธิบาย บ้านหลังใหญ่ คือ โลก ซึ่งทุกคนได้อาศัยอยู่ในยุคนั้นๆ

ทางทฤษฎี การพยายามสืบค้น ร่องรอยด้านกายภาพ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่จะไข
ปริศนาต้นทางแห่งชีวิต แต่ก่อนหน้าที่ชีวิตจะให้กำเนิด ยิ่งเป็นสิ่งน่าสงสัยว่ามี
ความเป็นไปเป็นมาอย่างไร ของหน้าตาโลกครั้นอดีตดึกดำบรรพ์

เราเข้าใจเพียงใดกับโลก บ้านหลังใหญ่ี่ ซึ่งใช้อาศัยอยู่ท่ามกลาง ระบบสุริยะ
อันกว้างขวาง ใน จักรวาล อันไพศาลนี้
 
 
กำเนิดดวงอาทิตย์ ต้นทางมวลพลังงานแห่งชีวิต
   
 
เริ่มจากดวงอาทิตย์ มีระบบกำเนิดเหมือน ดาวเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับดาวอื่นนับ
หลายล้านล้านดวงในดาราจักร โดยมีพัฒนาการต่อเนื่องทุกๆนาีที อย่างยาวนาน
ท้ายที่สุด ดวงอาทิตย์ก็มีจุดจบ ไปตามอายุขัยเช่นกัน

ขณะที่มีความโกลาหลอย่างสุดขั้ว ตลอดอาณาจักรแห่งระบบสุริยะ น้องใหม่ของ
ดาราจักร ทางช้างเผือก ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นก่อนดาวเคราะห์อื่น ด้วยความวุ่นวาย
อย่างซับซ้อน และสืบเนื่องทำให้เกิดรูปแบบดาวเคราะห์ตามมา จากการผสมรวม
ของเฆมหมอก Nebul ตัวร่วมกัน มีทั้งความร้อนสูง ความกดดันสูง และแรงดึงดูด
อย่างไม่เป็นระบบ

ความไม่เป็นระบบเหล่านั้น เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่มีสิ่งใดควบคุมได้ ด้วยการ
นำพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งมากขึ้น และที่นั้นก็ทวีความรุนแรง ของแรง
กดดัน เมื่อแรงกดดันพุ่งเพิ่มทวีคูณ ส่งผลผันดันกัน ให้เกิดแรงดึงดูด

ท้ายที่สุดแรงดึงดูด ส่งผลต่อทุกสิ่ง ดึงดูดให้ มวลสสารธรรมชาติ ยุบตัวกันเป็น
ก้อนวัตถุและการเกิดวนเวียนเริ่มต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มวลสารดังกล่าวพอกเพิ่มกัน
เป็นกลุ่มๆเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นบางก้อนยุบตัวรวมจากวัตถุดิบที่เป็นของแข็ง
ส่วนใหญ่ บางก้อนยุบตัวรวมผสมกัน ระหว่างของแข็งและก๊าซที่มากกว่าแบบ
ผิดปกติ โดยทุกดวงมีความทึบหนาแน่น ของวัตถุดิบอยู่ที่แกนใจกลาง
 
 
 
 
 
 
นับเป็นภาระหนัก ต่อเนื่องหลายพันล้านปี หรือมากกว่า ระบบต่างๆเริ่มเสถียรขึ้น
ความยุ่งยากที่กดดันมาตลอด เริ่มลดระดับลงไป เกิดความสงบนิ่งของระบบ แต่ใน
เบื้องลึกการแสดงว่าสงบนิ่งนั้น ทุกอย่างมิได้เฉยชา ความร้อนจากการแผ่รังสียัง
ทำงานต่อไปโดยมองไม่เห็น ขบวนอนุภาคอันตรายจากดวงอาทิตย์ ยังแผ่ซ่านไป
ทุกพื้นที ด้วยลมสุริยะ อย่างไม่หยุดยั้ง

โครงสร้างระบบสุริยะปรากฎใหม่ๆ ดาวเคราะห์แต่ละดวง ได้รับมรดกวัตถุดิบแต่ละ
แต่ละประเภทจากการก่อตัวอย่างเหลือเฟือ ไม่ว่าแร่ธาตุ สารประกอบใหม่จากการ
รวมตัวอย่างไม่คำนึงถึงระดับชั้น ผสมผสานท่ามกลางปฎิกิริยาที่ต่างกันไป

เพราะฉะนั้น ดาวเคราะห์ ในครอบครัวระบบสุริยะ มีความแตกต่าง ทั้งรูปร่างขนาด
หน้าตาและโครงสร้าง ที่เอื้อจากส่วนผสมวัตถุดิบ ตั้งแต่กำเนิดไม่เหมือนกันและ
การกำเนิดที่มีระยะทางวงโคจร ใกล้ไกลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของผลพ่วงที่จะตามมา
ต่อสภาพแวดล้อมดาวเคราะห์ แต่ละดวงในอนาคต
 
 
วันแรกของโลก ท่ามกลางความสับสน
 
 
 
ต่อมาวันแรก (ราว 4,600 ล้านปีที่ผ่านมา) โลกได้เผยโฉมหน้าพร้อมๆกับดาวดวง
อื่นที่กำเนิดไล่เรียงออกมา ทุกอย่างผ่านมาไม่ได้ราบรื่นแม้แต่น้อย ระบบสุริยะเต็ม
ไปด้วยฝุ่นหมอก และเศษวัตถุที่หลงวงโคจร วิ่งชนประสานงานกันนับไม่ถ้วน

บางส่วนแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ตั้งแต่เล็กจิ๋วแบบฝุ่นผง จนแตกเป็นระดับ
นับร้อยกิโลเมตร นอกจากนั้นโลกก็เป็นเป้าหมายถูกชนปะทะเรื่อยมา พื้นผิวลุก
เป็นไฟ เสียงระเบิดดังมาจากทุกทิศ เต็มไปด้วยหินร้อน ควันสกปรก โลกเกิดใหม่
ในวันนั้นเหมือนขุมนรกแตก จึงเรียกว่า Hadean Era หรือ Hellish Era (มหายุค
นรกแตก หรือปีศาจแห่งขุมนรก) เป็นสภาพแวดล้อมโลกเกิดอย่างต่อเนื่องกันยาว
ระหว่าง 4,500-3,800 ล้านปี ของช่วงแรกกำเนิดที่ผิวโลกเริ่มแข็งตัวจากของเหลว

การถูกพุ่งชนปะทะจาก ดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาต ทำให้เกิดหลุมบ่อไปทั่ว กับ
ดาวเคราะห์ทุกดวง บางดวงถูกชนแบบกระหน่ำแบบนับไม่ถ้วน นับว่าเป็นจุดสำคัญ
เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิว ทำให้เกิดความสูงต่ำของพื้นที่และแอ่งกะทะเหมือน
เตรียมรองรับ ให้เกิดความสมบูรณ์ของดาวเคระห์ โดยเฉพาะโลกอนาคต
   
 
 
 
พื้นผิวโลกในขณะนั้น ยังมีความร้อนสูง ตลบอบอ่วนไปด้วยควัน และก็าซมีเทน
โขดหินต่างๆเป็นปุ่มปม ขุรขระไม่สวยงาม มีสีดำอมแดงดูสก ปรกด้วยคราบเขม่น
บางพื้นที่สีดำทึบ จากการชนของอุกกาบาต

เหนือผิวดินหนาแน่นไปด้วยรังสี Ultraviolet ที่มีอันตรายต่อระบบชีวิต และเป็นสิ่ง
ไม่เอื้อต่อการกำเนิดของชีวิต ในขณะนั้นแม้แต่น้อย

ภาพทิวทัศน์ต่างๆที่มองเห็นส่วนใหญ่ เป็นสีแดงอมส้มจากปฎิกิริยาของก็าซมีเทน
มีความหนาของควันดำ ยังไม่มีสีเขียวสดหรือฟ้าสดใสให้เห็น เพราะขณะนั้นชั้น
บรรยากาศยังไม่มี ก๊าซออกซิเจนและน้ำแม้แต่น้อย ดูเหมือน โลกอื่น ไม่เหมือน
โลกของเราในเวลานี้เลย
 
 
กำเนิดดวงจันทร์
 
 
หลังจากโลก เผยโฉมเพียง 100,000 ปี (หรือ 4,500 ล้านปีที่ผ่านมา) เกิดปรากฎ
ดวงจันทร์ก่อกำเนิดตามมา การส่องสาดแสงเริ่มต้นไม่สดใสนัก เหตุเพราะระบบ
สะท้อนค่ารังสีจาก ดวงอาทิตย์ ยังไม่สมบูรณ์ ช่องว่างในอวกาศระหว่างดวงจันทร์
โลก และดวงอาทิตย์ยังมีความหนาแน่นไปด้วย ฝุ่นหมอกอวกาศหลงเหลืออยู่จาก
การก่อตัวในระบบสุริยะ คอยขวางกั้นลำแสง

หากมองจากโลกในขณะนั้น ดวงจันทร์แรกกำเนิด พื้นผิวส่วนใหญ่มีความราบเรียบ
ไร้ร่องรอยหลุมบ่อดูเหมือนมีความใหญ่โตมากกว่าวันนี้ เพราะมีวงโคจรที่ใกล้โลก
แต่หลังจากนั้นอีก ก็ถูกชนปะทะเริ่มเกิดขึ้นเหมือนโลกเช่นกัน จึงเกิดหลุมบ่อมาก
มายขึ้นต่อมาภายหลัง
 
 
 
แบคทีเรียรุ่นแรก ยกขบวนเผชิญชะตากรรม
 
 
ถัด มาอีก 800,000 ปีนับจากวันแรกของโลก (หรือ 3,800 ล้านปีที่ผ่านมา) ขณะนั้น พื้นผิวโลก ยังเต็มไปด้วยรังสีที่อันตรายเช่นเดิม สภาพผิวหินมีรอยดำขึ้น มองเห็น
ได้ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงเกิดเป็นย่อมๆ ตามร่องลึกขยายตัวเพิ่มโดยทั่วไป

น่าเรียกได้เป็นความอัศจรรย์ ของระบบแบคทีเรียชุดแรกของโลก ได้กำเนิดขึ้น
ท่ามกลางวิกฤตที่โหดร้าย จากสภาพแวดล้อม และได้เผชิญชะตากรรมต่อมาอีก
หลายพันล้านปี หลงเหลืออยู่บริเวณชั้นหินเก่าแก่มีคราบดำๆ อย่างน่าสงสัยว่าเกิด
ขึ้นบนโลกหรือมาจากที่อื่นกันแน่ สภาพแวดล้อมนี้เป็นช่วง Archean Era (มหายุค
สมัยดึกดำบรรพ์ หรือ การพบหลักฐานหินดึกดำบรรพ์ ) เป็นช่วงสภาพแวดล้อม
โลกระหว่าง 3,800-2,500 ล้านปี ต่อเนื่องมาจาก Hadean Era
 
 
 
ความเย็นเริ่มมาเยือน
 
 
ความเปลี่ยนแปลงของโลก ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องตลอดอีก 1,000 ล้านปี
นับจากวันแรกของโลก (หรือ 3,600 พันล้านปี ที่ผ่านมา) ด้วยการเริ่มเย็นตัวลง
สภาพบรรยากาศ ที่เคยร้อนระอุ ขณะนี้ความเย็นขยับตัวเข้าแทนที่อย่างช้าๆี่ ที่ขั้ว
โลก เพราะเป็นบริเวณได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าแถบเส้นศูนย์สูตร

สิ่งที่ยังไม่ได้ขาดหายไป คือ การพุ่งชนปะทะจากอุกกาบาต ยังเกิดขึ้นอย่างต่อ
เนื่องไม่ลดละ ทำให้เกิดหลุมแอ่งใหญ่เล็กทั่วไป การเกิดแต่ละครั้งยิ่งเพิ่มพัฒนา
ของมวลสสารธาตุ มาพร้อมกับอุกกาบาตจากแหล่งอื่น ผสมผสานขณะระเบิดแต่
ละครั้ง ก่อเกิดธาตุใหม่ภายใต้สภาวะใหม่บนโลก พร้อมจะเอื้อประโยชน์ต่ออนาคต
 
 
 
เมฆฝนได้ก่อตัวขึ้น น้ำท่วมล้น เกิดมหาสุมทร
 
 
โฉมโลกกำลังพลิกไปสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างสิ้นเชิง นับแต่ 1,600 ล้านปี
วันแรกของโลก (หรือ 3,000 ล้านปี ที่ผ่านมา) เมฆฝนเริ่มก่อตัวขึ้นด้วยความหม่น
มัวหนาทึบ ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก จากไอความร้อนที่สะสมมานาน

แต่ในช่วงต้นๆ ที่เริ่มการเปลี่ยนแปลง น้ำฝนไหลลงไปตามพื้นที่สะสม ของก๊าซ
มีเทน ทำให้เกิดทะเลแอ่งน้ำสีแดง และคอยๆเจือจางลง

บางพื้นที่ไหลลงปล่อง ภูเขาไฟ ท่วมล้นรวมกับลำธารลาวา เกิดเป็นน้ำร้อนเดือด
พล่านระเหยกลายเป็นไอน้ำ รวมกับกรดกำมะถัน สู่ชั้นบรรยากาศ สร้างความหลาก
หลายของธาตุในอากาศ สภาพอากาศแจ่มใสขึ้นกว่าเดิม
 
 
 
 
 
หลังจากนั้นตลอด 1,000,000 ปี ฝนตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง ท่วมล้นไปไหลลง
ไปในแอ่งที่ต่ำ ราบลุ่มหลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์ หลายแหล่งที่รอคอยรับน้ำ

สภาพแวดล้อมมีความชุ่มช่ำ สดชื่น พร้อมนำความน่ากลัวจากเสียงฟ้าร้อง ฟ้่าผ่า
แสงจากฟ้าแลบ เหมือนดนตรีวงใหญ่ บรรเลงพร้อมๆกับเสียงฝนตกอย่างหนักโดย
ไม่มีวันหยุดต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งยาวนานนับพันปี จึงเรียกว่า Proterozoic Era (มหายุคการจัดระเบียบสภาพอากาศ หรือ การก่อตัวสิ่งมีชีวิต
ขนาดเล็ก) โดยก็าซต่างๆเริ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เป็นช่วงสภาพแวดล้อมโลกระหว่าง
2,600-544 ล้านปี
 
 
 
โลกสดใส ชีวิตใหม่ตามมา
 
 
 
โลกได้บรรลุถึงการเกิดมหาสมุทรอย่างสมบูรณ์ขึ้น พื้นผิวดินขณะนั้นยังเชื่อมต่อ
กันเป็นผืนเดียว โดยมีมหาสมุทรล้อมรอบ ความอุดมสมบูรณ์แผ่กว้างออกไป

ความอัศจรรย์เกิดขึ้นอีกครั้ง จากสมดุลยของธรรมชาติ เอื้อให้เกิดชีวิตขนาดเล็ก
เมื่อ 2,600 ล้านปี นับจากวันแรกของโลก (หรือ 2,000 ล้านปีที่ผ่านมา)

เป็นการกำเนิดของ Eukaryotic cells (เซลล์ที่ประกอบด้วยนิวเคลียส) ในยุคเก่าแก่
ซึ่งเป็นส่วนประกอบของพืช และสัตว์ทั้งหลายในยุคต่อๆมา
 
 
 
ความอิ่มเอิบของ ชั้นบรรยากาศ
 
 
 
ระบบน้ำขึ้น น้ำลงเกิดขึ้นสมบูรณ์แบบ มาระยะหนึ่งแล้ว มีความแข็งแกร่งจากแรง
ดึงดูดของดวงจันทร์ เพราะยังมีวงโคจรใกล้โลก การเกิดแต่ละครั้งมีความรุนแรง
กว่าปัจจุบันนี้ ท่ามกลางมหาสุมทรที่ยิ่งใหญ่ของโลก ห่อหุ้มด้วยปุ่ยเมฆสีขาวแซม
ด้วยสีน้ำเงิน ของมหาสมุทร มองจากอวกาศเหมือนลายหินอ่อน เราจึงเรียกโลก
Blue Marble (หินอ่อนสีน้ำเงิน) ในเวลาต่อมา

นับว่าสภาพฤดูกาล มีความสมบูรณ์พร้อมแล้ว ก๊าซออกซิเจนในชั้นบรรยากาศมี
มากมายเหลือเฟือและมีความเสถียร นับจากวันแรกของโลกราว 4,100 ล้านปี (หรือราว 500,000 ปี ที่ผ่านมา) ได้รอคอยสิ่งมีชีวิต จำเป็นต้องใช้ดำรงชีพสืบไป
 
 
 
 
แต่สิ่งที่เราต้องตระหนักขณะนี้ คือ เพียงการอาศัยอยู่ ของมนุษย์อย่างหนาแน่น
เพิ่มขึ้นใน 500 ปีที่ผ่านมา ได้ทำลายทรัพยากร ทำลาย ระบบต่างๆของธรรมชาติ
ไปอย่างน่ากลัว และขาดความรับผิดชอบ มีผลทำให้ สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป จากที่โลกสร้างมาด้วยเวลายาวนาน ถึง 4,600 ล้านปี

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น