Extraterrestrial Intelligence : สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล

 
   Extraterrestrial Intelligence : สิ่งทรงปัญญาในจักรวาล
 
 
 
ครั้นหนึ่งมนุษย์เชื่อว่า โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล ด้วยเหตุผลมีท้องฟ้าอยู่รอบๆ
ตัวเรา ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ทราบว่า โลกคือ ดาวเคราะห์
โคจรรอบ ดวงอาทิตย์ อยู่ภายในกาแล็คซี่ทางช้างเผือก (Milky way galaxy) และ นอกจากนั้นยังทราบว่า มีดาวนับหลายๆพันล้านดวง อยู่ในกาแล็คซี

การที่มี ดาวเป็นจำนวนมากในจักรวาล ทำให้มีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่ามนุษย์อยู่อย่าง
โดดเดี่ยวในจักรวาลเพียงลำพังหรือ ? ความสงสัยเหล่านั้นจึงเกิด แนวคิดความ
เชื่อและความเข้าใจ เรื่องจักรวาล ในหลายกรณี
บางกรณีอาจขาดพยานหลักฐาน
ที่พิสูจน์ให้ประจักษ์แจ้ง อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุผลแสดงถึงถึงความเป็นได้ อยู่
ไม่น้อยเช่นกัน
 
 
ใต้พื้นผิวน้ำแข็ง บนดวงจันทร์ยูโรปา เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิด ระบบชีวิต
 
 
ภาพรวมของระบบชีวิต ในจักรวาล

แน่นอนว่าจำนวนดาวมากมหาศาล ย่อมมีดาวเคราะห์จำนวนมากขึ้นไปอีกหลาย
เท่าตัว ด้วยสามัญสำนึกแบบตรรกวิทยา (Logical) มีความเป็นไปได้ ต่อการมี
ระบบชีวิต (Life) ในที่อื่นของจักรวาลนี้เช่นกัน

แม้ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ จากผู้รอบรู้ในเรื่องดังกล่าว ว่ามีที่ใดจะมีระบบชีวิต
เหมือนดังเช่นโลก และแสดงให้เห็นถึง Intelligent civilizations (อารยะธรรม
ทรงปัญญา)
เหมือนหรือคล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเท่าที่ทราบขณะนี้ ระบบสุริยะ
คงมีแต่โลกเท่านั้น ที่มีระบบชีวิตที่มีความก้าวหน้าชั้นสูง (Advanced life of the
kind) และบนดาวอังคาร (Mars) พบว่ามี Primitive organisms (ชีวิตบรรพกาล)
หรือ บนดวงจันทร์ยูโรปา (Europa) ของดาวพฤหัส (Jupiter) อาจพบ มีสิ่งมีชีวิต
บางชนิดเช่นกัน แต่ไม่ใช่ สิ่งที่มีอารยะธรรมทรงปัญญา

การค้นหาอารยะธรรมสิ่งทรงปัญญา เช่นมนุษย์ หรือระดับไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์
จึงพุ่งเป้าหมายไปยัง ดาวเคราะห์คล้ายโลก (Earthlike planet) ทีโคจรอยู่รอบ
ดาวประเภทเดียวกับ ดวงอาทิตย์ (Solar-type star) ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยนับล้าน
ดวงเฉพาะเพียงใน Milky way galaxy

นั่นหมายความว่า มีระบบสุริยะอื่น เช่นระบบสุริยะของเราอีกมากมาย หากย้อน
กลับไปอดีตกาล ดั้งเดิมบนโลกครั้นบรมยุคกำเนิดโลก (Birth of earth) ไม่เคย
มีมนุษย์มาก่อน ภายหลังจากกำเนิดมนุษย์ อารยะธรรมโลกมนุษย์ เพิ่งเริ่มขึ้น
ไม่กี่พันปีที่ผ่านมาเท่านั้น

และอารยะธรรมบนโลกมนุษย์มักเกิดขึ้น แล้วถูกทำลายด้วยการต่อสู้หรือประสบ
ภัยธรรมชาติเสมอ ดังนั้นทุกอารยะธรรม อาจอยู่ท่ามกลางความอันตรายเมื่อถึง
จุดสูงสุด ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของแต่ละช่วงเวลา และที่อื่นในจักรวาลจะเป็นเช่น
เดียวกันหรือไม่ ?
 
 
Exoplanet CoRoT-7b หนึ่งในเป้าหมายสำรวจ ห่างจากโลก 500 ปีแสง
 
 
Alien จากจินตนาการ
 
20
Alien : มนุษย์ต่างดาว

เป็นการแสดงระบบชีวิตที่ใดก็ตาม มีองค์ประกอบ Carbon based (พื้นฐานคาร์-
บอน) และหมายถึง ผู้หนึ่งผู้ใดที่มิได้กำเนิดบนดาวเคราะห์โลก โดยถือว่าอาจมา
จากที่ใดก็ได้จากนอกโลกในอวกาศ เรียกว่า มนุษย์ต่างดาว

ทั้งนี้มิได้เจาะจงในเรื่องระบบชีวิต ระดับความคิด และรูปแบบที่ชัดเจน เป็นการ
เรียกโดยรวม ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ฟังยาก ต่อหลักฐานต่างๆ ที่เผยแพร่ออกมาส่วน
ใหญ่มักเป็นจินตนาการ จากนิยายวิทยาศาสตร์ อาศัยวิธีอธิบายยึดหลักพื้นฐาน
วิทยาศาสตร์ แต่มักจะเพิ่มเติมเนื้อหา ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้
ความตื่นเต้น น่าสนใจมากขึ้นต่อการรับทราบของสาธารณะชน

บางครั้งเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรร ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อเจตนาอย่างหนึ่งอย่างใดนำออก
เผยแพร่ ทำให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดมีอยู่มิใช่น้อย ทำให้เกิดข้อสงสัยไปอย่างกว้าง
ขวางว่า มนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ?

โดยทั่วไปหากกล่าวถึง Alien จะเป็นความหมายให้เข้าใจว่า มนุษย์ต่างดาวโดย
ปริยาย ส่วนในเชิงวิชาการมักนำไปใช้กับ สิ่งมีชีวิตเช่น แบคทีเรีย สัตว์ประเภท
แปลกๆที่ค้นพบใหม่ ไม่ว่าบนโลก (หรือนอกโลก) โดยมีลักษณะความเป็นอยู่
การดำรงชีพแบบไม่น่าเชื่อ เช่น ตัวอย่างใน เรื่องสวนสัตว์ต่างดาว (Alien Safari)

Extraterrestrial intelligence : สิ่งทรงปัญญา

พื้นฐานไม่มีความโหดร้าย โดยอาจต่างจากมนุษย์ และมีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่า
มนุษย์ ทั้งนี้มีความหลากหลาย ของเผ่าพันธ์ที่ไม่เหมือนกัน อยู่กับลักษณะพิเศษ
ของดาวเคราะห์ (หรือแหล่งอาศัย) ในอารยะธรรมนั้น อย่างชัดเจน

ซึ่งอาจมีอารยะธรรมเข้มแข็งมาก หรือเข้มแข็งน้อยกว่าโลกได้ หรือมีความสุดขั้ว
ต่อความก้าวหน้า ของอารยะธรรมนั้นอย่างนึกไม่ถึง สิ่งทรงปัญญาแต่ละเผ่าพันธ์
มีคุณสมบัติเฉพาะ ในแต่ระบบของตน เช่น Genius class (กลุ่มที่มีรอบรู้เฉลียว
ฉลาดระดับอัฉริยะ) หรือ Member class (กลุ่มสมาชิกมีความรอบรู้เฉพาะด้าน)
การแสดงตน อาจเพียงเป็นกลุ่มมวลพลังงานเป็นแสง อยู่ในสถานะพลาสมา
(Plasma) และ ควาร์ก-กลูออน พลาสม่า (Quark-gluon plasma) หรือ เฟอร์มิ-
โอนิค คอนเดนเซต (Fermionic condensate) และ โบสัน (boson) ฯลฯ โดย
ทั้งหมดอยู่ใน สถานะควอนตัม (Quantum state) ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น

หรือบางกรณี อาจแสดงเป็นกลุ่มของ สภาพระบบทางกายภาพ มองเห็นได้ด้วย
ตาเปล่า ซึ่งมีความสัมพันธ์ กับโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติทางฟิสิกส์ แบบ
บนโลกก็ได้ ส่วนใหญ่มักมีความแปลกประหลาดจนมนุษย์ไม่เข้าใจ โดยภาพรวม
มีศักยภาพสูงเรื่องการเรียนรู้ มีความเข้าใจได้รวดเร็ว ทั้งนี้ขนาดรูปทรงสันฐาน
มิใช่เป็นประเด็นสำคัญ ระบบที่มีศักยภาพสูง แสดงออกได้โดยการแผ่รังสีหรือ
การแผ่คลื่นไฟฟ้า
 
 
Origin of Life โมเลกุลต้นกำเนิดมนุษย์มาจากที่อื่น
 
  ระบบของสิ่งทรงปัญญา

ภาพยนต์ ประเภทมนุษย์ต่างดาว หรือ E.T. มีจินตนาการทำให้เราประหลาดใจใน
ความตื่นเต้นทางเทคนิค การสร้างสรรกำหนดให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อมนุษย์ หรืิอ
สร้างสรรในบางประเภท ให้เป็นปรปักษ์กับมนุษย์

ภาพยนต์หรือเรื่องเล่า ทีี่มีข้อมูลแบบเล่นตลกบนอินเตอร์เนท เป็นเหตุผล ทำให้
มนุษย์กว่าครึ่งโลกเข้าใจว่า ระบบของชีวิตในที่อื่นเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แท้จริงการมองระบบมนุษย์เป็นพื้นฐาน คงไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ ในเรื่อง
ระบบชีวิตสิ่งทรงปัญญาอื่น เพราะมีความต่างกัน ของสภาพภูมิประเทศจักรวาล
แม้ว่าต้นกำเนิดแห่งชีวิตมนุษย์ (Origin of Life) มีหลักฐานแสดงว่ามาจากที่อื่น
แต่เมื่อเกิดขึ้นบนโลก ระบบสามารถเปลี่ยนแปลง เป็นไปตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ

สิ่งทรงปัญญาอื่นก็เช่นเดียวกัน การมีศักยภาพเพื่อการดำรงอยู่ อาจมีความแปลก
ประหลาดคาดเดาไม่ถึง เช่น ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ค้นพบใหม่บนโลกเอง
ยังสร้างความประหลาดใจ ในได้ในกรณีของ สวนสัตว์ต่างดาว (Alien Safari)
หรือเรื่อง พืชพันธ์ไม้จากต่างดาว (Plants on Other Worlds) จากการวิเตราะห์
ให้เป็นตัวอย่างแนวคิดได้

ความแตกต่างของระบบสิ่งทรงปัญญา วันนี้ยังไม่มีหลักฐาน ที่แสดงให้ประจักษ์
แจ้งทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็พยายามตั้งข้อสังเกตความเป็น
ไปได้ ต่อระบบดังกล่าว ว่าควรจะปรากฎออกมาเช่นใด

จากท่ามกลางสภาพที่อันตราย ของภูมิประเทศจักรวาล เรื่องรังสีความร้อน เรื่อง
ฝุ่นหมอกอวกาศ เรื่องสนามแรงโน้มถ่วง (Gravitational field) ที่มีค่าต่างกัน รวม
ถึงความกดดันสูง และผลกระทบปฎิกิริยาเคมีในธรรมชาติ

ความต่างด้วยเพียงเป็นส่วนหนึ่งที่มนุษย์ ยังพอมีความเข้าใจ โดยหลักความจริง
ถึงไม่สามารถเป็นแหล่งถือกำเนิดของ ระบบชีวิตเช่นมนุษย์ ที่มีเนื้อเยื่อและเลือด
ได้ หรือแม้แต่จะอยู่อาศัยชั่วคราวก็ตาม

แต่ภูมิประเทศจักรวาลสถานะดังกล่าวเช่นนั้น หากกำเนิดสิ่งอื่น ที่ไม่จำเป็นต้องมี
เนื้อเยื่อและเลือดได้หรือไม่ และไม่ต้องบริโภคน้ำอาหาร ออกซิเจน เช่นมนุษย์
แต่อาจบริโภคพลังงานจาก สนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Field) โดย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความถี่สูง มีระดับของพลังงานสูง หรือจากพลังงานไฟฟ้า
เอื้อขึ้นจากปฎิกิริยาทางเคมีของธาตุ สารประกอบที่มีจำนวนมากในธรรมชาติของ
จักรวาล ดำรงความเป็นอย่ด้วยก๊าซฮีเลียม ไฮโดรเจน แทนออกซิเจน ท่ามกลาง
รังสีอันตราย ด้วยความสามารถปรับสภาพระบบตนเองได้ คงเป็นเรื่องน่าขบคิด
 
 
แนวคิดพันธ์พืชบนโลกอื่น แบบ 4 มิติเช่นโลก
 
 
แนวคิดประเภทสัตว์ บนโลกอื่น อาศัยท่ามกลางสภาพอันตรายจากรังสี แบบ 4 มิติเช่นโลก
 
 
การดำรงอยู่ของ สิ่งทรงปัญญา

สิ่งทรงปัญญาจักรวาลเดียวกัน อาจเหมือนมนุษย์หรือไม่เหมือนมนุษย์ได้ แต่การ
ดำรงอยู่ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานทางธรรมชาติ ของจักรวาลเช่นกันหรือไม่นั้น
ยังไม่มีคำตอบ ความสุดขั้วของสิ่งทรงปัญญา อาจแสดงในรูปลักษณ์ เช่น มีตา
สำหรับมองแต่อาจมีเพียงตาเดียว หรือมีถึง 3 ตา อาจไม่มีแขนขาอัวยะที่สำหรับ
จับหยิบเดินแต่ทรงกายด้วยลำตัวที่มีหางแทน หรืออาจไม่มีอัวยะใดๆเลยมีเพียง
เป็นกลุ่มก้อนรูปทรงอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเป็นเพียงกลุ่มพลังงานแสง

มีความเป็นไปได้มาก ต่อกฎเกณฑ์แตกต่างทางกฎฟิสิกส์ ที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ
ของการดำรงอยู่ ในรูปแบบของกาลอวกาศ (Spacetime) ที่ต่างมิติออกไป
สิ่งเหล่านี้มีความมากมายในมิติอวกาศ (Multidimensional space) เรียกว่า
Extra-dimension (มิติพิเศษ) ไม่เหมือนกับโลกเรา

สิ่งของต่างๆ ที่เป็นกายภาพรวมตัวเราเอง มีการรับรู้ แบบระบบของโลกมนุษย์
มีองค์ประกอบ 3 มิติ (กว้างxยาวxสูง) แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกยึดติดกับเวลาด้วย
(เดินหน้าไปโดยตลอดถอยหลังไม่ได้) จึงทำให้ระบบมนุษย์ ต้องรับรู้รวมเวลา
ไปด้วย เป็น 4 มิติ

Extra-dimension หรือมิติพิเศษ จึงอาจเป็นแหล่งซ่อนตัวของสิ่งทรงปัญญา
อย่างเงียบสนิทที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้หรือมองไม่เห็น เช่น จักรวาลที่มองไม่เห็น
(Invisible universal) ในทฤษฎีเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ ในรูปแบบ Multiverse (เครือข่ายหลายจักรวาล) เนื่องจากด้วยจำนวนมากและความหลากหลาย

สิ่งใดก็ตามในมิติพิเศษ ควรมีศักยภาพรับรู้ในมิติที่ต่ำกว่าเช่น ระบบโลกได้โดย
เพียงแต่มองมา แต่ไม่ประสงค์แสดง ความสนใจใดๆมากนัก จึงไม่จำเป็นต้อง
ตอบสนองใดๆ เปรียบเสมือนอารยะธรรมโลกนั้นเป็นเพียงเด็กทารก มีเทคโนโลยี
ล้าหลังอย่างมาก เช่น ครั้นหนึ่งมนุษย์อยากไปดวงจันทร์ แต่เมื่อไปแล้ว ไม่พบ
สิ่งน่าสนใจ วันนี้จึงมุ่งไปสู่ดาวอังคาร (Journey to the Mars)

จากกรณีดังกล่าว หากเป็นเช่นนั้น มนุษย์เองไม่มีศักยภาพการมองเห็น และติด
ต่อสื่อสารแบบระบบของมนุษย์ได้ ตาม วิธีที่มีอยู่ในปัจจุบันได้เลย ยกเว้นหา
วิธีข้ามมิติ (Across the Dimensions)

เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ หลายคนอาจมองว่า แนวคิดเพ้อฝันเช่นนิยายวิทยาศาสตร์
โดยข้อเท็จจริง มิได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมด ในหลายกรณีนิยายวิทยาศาสตร์ถูก
แต่งขึ้นโดย ผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นมีแนวคิดพื้นฐานมีหลักการที่คล้าย
คลึงกันได้

อย่างไรก็ตามการข้ามมิติ จำเป็นต้องมีแหล่งพลังงานอันมหาศาล อย่างน้อยเทียบ
เท่ากับ มวลดาวพฤหัสแต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะจะมีอันตรายและความเสี่ยงต่อ
ระบบชีวิต หากมีข้อผิดพลาดไม่มีหนทางแก้ไขได้เลย

แต่จะทำได้จริงหรือเพราะการข้ามมิตินั้น เกี่ยวพันกันของสนามแรงโน้มถ่วงและ
กาลอวกาศ ภูมิประเทศจักรวาล มนุษย์จะนำตนก้าวพ้นสิ่งเหล่านั้น ไปอีกเหตุการณ์
อื่นๆ คำถามคือ จะปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในต่างมิติได้อย่างไร แทบมองไม่เห็น
ความเป็นไปได้

ในทางกลับกันสิ่งทรงปัญญา แม้ว่าสามารถรับรู้มิติที่ต่ำกว่าได้ แต่การเข้าสู่ระบบ
อื่นก็ควรมีปัญหาต่อตนเช่นกัน เพราะสิ่งทรงปัญญาไม่ใช่เป็นผู้วิเศษดังมีเวทมนต์
เพียงเป็นรูปแบบหนึ่งในจักรวาลเช่นกัน ย่อมประสบความยุ่งยากต่อสถานะต่าง
สภาพอย่างน้อย เช่น สนามแรงโน้มถ่วง กาลอวกาศ และภูมิประเทศจักรวาล
ที่เคยดำรงอยู่เดิม
 
 
แนวคิดสิ่งทรงปัญญา ประเภท Member class ในมิติพิเศษ (Extra-dimension)
 
 
แนวคิดสิ่งทรงปัญญา ประเภท Member class ในมิติพิเศษ (Extra-dimension)
 
 
แนวคิดสิ่งทรงปัญญา ประเภท Member class ในมิติพิเศษ (Extra-dimension)
 
 
ความเป็นไปได้ในการไปเยือนต่างดาว

การค้นหาสิ่งทรงปํญญา โดยการเดินทางไปในอวกาศ ภาพที่มองเห็นในปัจจุบัน
มนุษย์ยังไม่มีวิธีใดๆ เดินทางข้ามอวกาศไปสู่ดาวอื่น แม้ว่าจะสามารถคิดค้นสร้าง
พาหนะที่มีความเร็วเท่าแสง นั้นหมายความว่า มนุษย์สามารถเดินทางไปยังดาว
ที่ใกล้โลกที่สุด คือ Alpha Centauri
ในเวลา 4 ปี (ไป-กลับ 8 ปี) แต่ต้องฝันฝ่า
อุปสรรค ด้านเทคโนโลยีอีกนับ 1,000 ปี อันที่จะมีพาหนะเร็วเท่าแสง

หากมนุษย์ใช้เทคโนโลยีปัจจุบัน ยานมีสำรวจความเร็วในอวกาศ 35,000 ไมล์ต่อ
ชั่วโมง (หรือมากกว่า) เดินทางโดยไม่หยุดพักเลย ต้องใช้เวลาประมาณ 40,000 ปี
จึงจะถึงเป้าหมาย Alpha Centauri ได้ ซึ่งยังไม่ต้องกล่าวถึงปัญหาต่างๆอีกมาก
ทั้ง 2 แนวทางจึงยังเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ ที่มนุษย์จะมีความสามารถเดินทางข้าม
จักรวาลเพื่อ การค้นหาระบบสิ่งทรงปัญญาอื่น

การติดต่อสื่อสารกับต่างดาวในทางวิทยาศาสตร์

ตราบใดที่อารยะธรรมมนุษย์ ยังสามารถพัฒนาการไปได้ โอกาสการติดต่อไปยัง
สิ่งที่อยู่ใกล้โพ้นก็มีความเป็นไปได้ อย่างน้อยขบวนการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์
เริ่มโดย SETI เป็นสิ่งที่ได้กระทำขึ้นมากกว่า 10 ปีมาแล้ว

ในโครงการชื่อ Search for Extra-Terrestrial Intelligence แผนสำรวจต่างดาว
(Amazing New Discovery) เริ่มมีความจริงจัง เพื่อค้นหาอารยะธรรมอื่นด้วย
ความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อสื่อสารกับสิ่งทรงปัญญาที่มีความเฉลียว
ฉลาดไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์โลก ด้วยสมการและหลักเกณฑ์ที่เรียกว่า Drake Equation ซึ่งเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์

ด้วยการส่งข้อความคลื่นวิทยุระยะไกล ออกไปในอวกาศ แบบ Mathematical
message (ข้อความทางคณิตศาสตร์) ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน มีความหวังว่าสัก
วันอาจได้รับการตอบกลับจาก สิ่งทรงปัญญาอื่นใดก็ตาม ในกาแล็คซี่ของเรา

อย่างไรก็ตาม International Astronomical Union ได้ออกคำประกาศอย่าง
เป็นทางการ เมื่อ ค.ศ.1991 ต่อผู้ใดก็ตาม ที่พยายามจะติดต่อไปยังอารยะธรรม
อื่นๆ ด้วยการแปลความหมาย แบบ Mathematical message เป็นสิ่งที่ไม่ฉลาด
ในการติดต่อสื่อสาร และมีอันตราย

เหตุผลว่า ความพยายามในการต่อติดสื่อสารโดยไม่ทราบ และไม่รู้จักอารยะธรรม
นั้นๆเป็น สิ่งน่าหวาดกลัว เพราะได้เปิดเผยข้อมูลโลก อาจไม่ได้รับการต้อนรับที่ดี
หรืออาจเป็น ปรปักษ์ตั้งแต่เริ่มต้นได้

กระนั้นเป็นเหตุผลดังกล่าว มิได้รับการตอบสนอง ด้วย 2 ประการคือ

1.การติดต่อสื่อสาร บรรลุเต็มรูปแบบเป็นไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ.1920 จาก
คลื่นวิทยุต่างๆบนโลกในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีรัศมีพุ่งไกลออกไปราว 80 ปีแสงจาก
โลก หากคิดถึงคลื่นระหว่างยานสำรวจ ที่ถูกส่งออกไปในระบบสุริยะกับโลกคงยิ่ง
มีรัศมีทำการยิ่งไกลออกไปอีกมาก เพราะลักษณะหายวับไปของคลื่นยิ่งน้อยลง

2.อารยะธรรมอื่น อาจมีความสามารถ วิธีเดินทางข้ามจักรวาล ระหว่างดวงดาว
(Interstellar travel) มากกว่ามนุษย์ การเป็นปรปักษ์ เกิดขึ้นได้ด้วยความโกรธ
และเพื่อผลประโยชน์ สงครามจึงจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความคิดอ่าน ที่ไม่เป็นสากล
ถ้าเป็นเช่นนั้น ป่านนี้คงไม่เหลือผู้คนบนโลกไปแล้ว เพราะถูกรุนรานจากสิ่งหนึ่ง
สิ่งใด เป็นการมองต่างมุม ต่างแนวคิด ต่างเผ่าพันธ์กันระหว่างดวงดาว
 
 
ข้อความติดต่อสื่อสารสิ่งทรงปัญญาแบบ Mathematical message
 
 
ข้อความติดต่อสื่อสารสิ่งทรงปัญญาแบบ Mathematical message
 
  แม้ว่ายังไม่ประจักษ์แจ้งต่อเรื่อง สิ่งทรงปัญญาในอารยะธรรมอื่น ขณะนี้เป็นเพียง
ข้อสงสัยโดยมีความพยายาม หาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีเหตุผลมั่นคง
ต่อการอธิบาย

ดังนั้นแนวความคิดดังกล่าว คงยังไม่ใช่สิ่งไร้สาระ ไร้เหตุผล เพียงแต่ความเข้าใจ
ข้อสันษิฐานอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป โดยสิ่งที่กำลังสืบค้นนั้น อาจใช้คำว่า
ไม่ใช่ไม่มีแต่ยังอาจหายังไม่พบ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาล ของขนาดจักรวาล
(Scale of the Universe) และปัจจัยอื่นๆอีกมาก
 
 
 
References :

Patrick Moore
California Institute of Technology
SETI Institute
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น