ชีวิตความลับของดวงดาว ตอน : Stars Birth [หน้า 1/3] | ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
|
สัณฐานแหล่งฟักตัว ของดวงดาว Star-Forming Clouds ความพร้อมเพรียง พื้นที่ช่องว่างระหว่างดวงดาว เป็นเพียงอาณาเขตให้กำเนิดดาว แต่้การก่อตัวขึ้นของดาว เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ ต้องมีความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร หรือวัตถุดิบ ที่จะค่อยฟักฟูมขณะดาวยังเป็นทารก ประเภทแหล่งความหนาแน่นทึบสูง (Highest-density types) ของหมอกอวกาศ บริเวณช่องว่างระหว่างดาว เรียกว่า เมฆโมเลกุล (Molecular clouds) เป็นบริเวณ ที่มีความพิเศษกว่าบริเวณอื่นๆของจักรวาล เพราะมีความเพียงพอต่อการปลด ปล่อยโมเลกุลของอะตอม บริเวณเช่นนี้มีอุณหภูมิ 10-30 Kelvin โดยมีความหนาแน่นประมาณ 300 โมเลกุลต่อ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร จนกระทั่ง มีความหนาแน่นถึง ล้านล้านล้านเท่า ต่อ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร ดังนั้นจะเกิดการ จับตัวเป็นก้อนๆรวมกันใหญ่ขึ้นเป็นพันเท่า เมื่อเกิดความหนาแน่นจะมีค่าเฉลี่ยใน ระดับเดียวกัน จากนั้นอุณหภูมิก็สะสมเพิ่มทวีมากขึ้น กว่าเดิมหลายเท่า เมฆโมเลกุล (Molecular clouds) ตรวจพบว่ามีส่วนผสมในองค์ประกอบมากกว่า 120 ชนิด เช่น Carbon monoxide, Ammomia, Ethyl alcohol และน้ำ เป็นต้น โดยทั้งหมดนั้นเป็นสภาพบรรยากาศเอื้อให้เป็น แหล่งฟักตัวของดาวใหม่โดยมี วัตถุดิบที่มีความสมบูรณ์รอคอยอยู่ |
|
| ||
ละอองแข็งของฝุ่นอวกาศ Interstellar Dust การก่อตัวของดาว ไม่ใช่เพียงแต่มีอากาศธาตุ (Gaseous) เช่น ก็าซ Hydrogen ก็าซ Helium หรือทั้งหมดที่มีอยู่ในเมฆโมเลกุล (Molecular clouds) เท่านั้น แต่ต้องมีสัดส่วนครึ่งหนึ่งประกอบด้วย ธาตุหนักกว่า Helium และ Solid grains (เมล็ดแข็ง) เป็นละอองแข็งของฝุ่นอวกาศ (Interstellar dust grains) ซึ่งเป็น สสาร เป็นส่วนประกอบเปรียบเทียบดังคล้ายกับ โครงสร้างเหมือนเป็นส่วนแข็ง ในร่างกายมนุษย์เช่น กระดูก เพื่อให้การดำรงอยู่สมบูรณ์แบบขึ้น แต่ในตัวตนของดาว ละอองแข็งของฝุ่นอวกาศ (Interstellar dust grains) ได้ กลายเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติม ต่างไปจากดาวยุคแรกที่มีส่วนผสมนี้น้อย การซึ่งมี องค์ประกอบเช่นนี้ ช่วยให้ดาวมีศักยภาพ ต่อระบบการเผาไหม้ที่ยืดเยื้อออกไป ทำให้อายุขัยของดาวยืนยาวขึ้น ละอองแข็งของฝุ่นอวกาศ (Interstellar dust grains) ลักษณะเมล็ดแข็งขนาด 1 ไมครอน (1/2ของแบคทีเรีย) เหมือนเม็ดทรายเล็กๆ พบมากใน Carbon และ ส่วนประกอบของธาตุอื่นๆ คล้ายกับ Silicon, Oxygen และเหล็ก แม้ว่ามีขนาดเล็กก็ตาม ด้วยความหนาแน่นอย่างสุดขั้ว ละอองแข็งของฝุ่นอวกาศ (Interstellar dust grains) ที่จับตัวรวมกัน ทำให้แสงไม่สามารถจะผ่านเข้าไปได้ ดาวที่อยู่บริเวณขอบเขตของเมฆโมเลกุล (Molecular clouds) มีผลกระทบการ กระเจิงของแสง จึงไม่สามารถเห็น ขบวนการเกิดของดาวใหม่ ที่อยู่เบื้องหลังได้ เช่นเดียวกับ ที่ไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ ผ่านม่านหมอกควันไฟได้ยกเว้นใช้กล้อง ตรวจจับแบบ Infrared ในการสำรวจ |
| ||
| ||
|
การเริ่มแรก ของรูปแบบกำเนิดดาว Stars Birth เมื่อมีความสมบูรณ์พร้อมของแหล่งฟักตัว มีวัตถุดิบในสภาพแวดล้อมที่พอเพียง การเริ่มแรก ของรูปแบบกำเนิดดาว ต้องอาศัยพลังงาน ซึ่งได้จากอำนาจของแรง โน้มถ่วง (Gravity) โดยเริ่มก่อปฏิกิริยา จากเมฆโมเลกุล (Molecular clouds) หนาแน่น จนกระทั่งความร้อนเพียงพอจะเกิด Nuclear fusion (การหลอมละลาย รวมตัวของอิเล็กตรอน) เป็นไส้แกน (Core) ให้เป็นจุดเล็กๆเกิดขึ้นก่อน อย่างไรก็ตาม การหมุนวนมวน เป็นแผ่นจาน (Disk) ด้วยอำนาจของแรงดึงดูด ดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งนับล้านปี ทั้งนี้ต้องขึ้นกับ ความกดดันของก๊าซ และแรงดึงดูด การผลักดันภายในแกนว่ามี อำนาจและความเสถียรเพียงใด กรณีดังกล่าว เรียกว่า Gravitational equilibrium (ดุลยภาพของมวลโน้มถ่วง) โดยหากทุกอย่างขององค์ประกอบเป็นไปด้วยดี โอกาสกำเนิดดาวใหม่จะสมบูรณ์ หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดบกพร่อง เช่น แรงดึงดูดอ่อนกำลังลงไม่แข็งแกร่ง ทำให้ การหมุนขาดดุลยภาพ ก็ไม่สามารถให้กำเนิดดาวได้ และมีจำนวนไม่น้อยที่ต้อง หยุดชะงักลง จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้คิดไปว่าคล้ายกับ ดาวพิการก่อนกำเนิด |
| ||
|
|
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น