การวิวัฒน์อย่างสืบเนื่อง ของจักรวาล : A Process of cosmic evolution [หน้า 1/2] |
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||
|
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
| ||
การวิเคราะห์ ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ พบว่าจักรวาล มีความหนาแน่น พองตัวขึ้น (Density fluctuation) หลังจาก Big bang (การระเบิดครั้งใหญ่) จนวิวัฒน์สู่การ ก่อกำเนิดดาว ดวงแรกแห่งจักรวาล รูปแบบจำลองใหม่ ย้อนเวลาดูจักรวาล (New Model of the Early Universe) ของดาวดวงแรก แสดงให้เห็นว่ามีมวลขนาดยักษ์ (Massive) และเปล่งความสว่าง โชติช่วง (Luminous) นับเป็นรากฐานยุคแรกและมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการ ในภายหลังต่อมา ดาวในจักรวาล มีความผันแปรของกลไก ด้วยความร้อนที่สับสน (Heating) และ ละอองก๊าซ (Ionizing gases) ที่หมุนเวียนอยู่โดยรอบ ทำให้สามารถก่อตัวขึ้น ของ Heavy elements (ธาตุหนัก) ทั้งนี้การเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยา Fission จะทำได้ง่ายในธาตุหนัก จนเป็นหนทางถึงการเกิดขึ้นของ ระบบสุริยะ ที่เราอาศัย การยุบตัวลงของดาวดวงแรก ก่อให้ต้นแบบของ หลุมดำยักษ์ (Supermassive black holes) ผุดขึ้นในแก่นของกาแล็คซี่ ทำให้เต็มไปด้วย แหล่งพลังงานคลื่น ของ Quasars (ควอซาร์) อดีตของจักรวาล ดาวเกิดขึ้นท่ามกลางความอันตราย และมีอายุขัยสั้น ต่างจาก วันนี้ กาแล็คซี่และควอซาร์ ให้กำเนิดดาว รวมทั้ง มนุษย์และต้นไม้บนโลก |
| ||
|
|
| ||
|
แปลความหมายเริ่มต้น การปรากฎขึ้นของจักรวาล Standard cosmological moldels ทั้งหมดแสดง ถึงการวิวัฒน์ของจักรวาลต่อ จากการเกิด Big bang จนกระทั่งพบความแปลกประหลาดที่ราบเรียบของ รังสีพื้น หลังจักรวาล จากการสำรวจจริง แสดงหลักฐาน ขนาด Small-scale มีลักษณะ Density fluctuations (การแกว่งขึ้นลงของพิกัด) เป็นกลุ่มๆ ผลของ Cosmological moldels ให้คำทำนายว่า เป็นการรวมกลุ่มทีละน้อยของ แรงโน้มถ่วงผูกมัดกับโครงสร้าง ด้วยระบบขนาดเล็กผสมตัวรวมเกาะกันเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น เพิ่มพิกัดหนาทึบขึ้น รูปแบบมีขอบเขต ของโครงข่ายเส้นใยลวด เกิดการก่อตัว ระบบของดาวดวงแรก (First star-forming systems) และเริ่มเป็น ต้นแบบกาแล็คซี่ขนาดเล็ก (Proto-galaxies) เกาะรวมด้วยวิ่งตัดทางโคจรกันเป็น โครงข่าย ในทำนองเดียวกัน Proto-galaxies ผสมรวมกันเป็น รูปแบบกาแล็คซี่สมบูรณ์ขึ้น จนชุมนุนเป็น Galaxy clusters (กระจุกกาแล็คซี่) โดยพัฒนาการต่ออย่างไม่หยุด รวมกันกว้างใหญ่ไพศาลสัมฤทธิ์ผล เป็นจักรวาลในปัจจุบัน |
| ||
การวิวัฒน์ี่ที่สืบเนื่อง ยุคกาแล็คซี่ เริ่มจากดาวดวงแรก ความเหมาะสมของ Cosmological moldels ด้วยแสดงการเริ่มต้นของระบบที่เล็ก อาจใช้เวลา 100-250 ล้านปี หลังจากเกิด Big bang โดย Proto-galaxies เกิดขึ้น ขนาด 100,000 -1,000,000 เท่าของดวงอาทิตย์ มีขอบเขตกาแล็คซี่ ประมาณ 30-100 ปีแสง กลุ่มเมฆโมเลกุลก๊าซ แสดงผลมีความคล้ายคลึงกับ กลุ่มดาวที่ก่อตัวของ Milky way ส่วน Proto-galaxies มีความแตกต่างออกไป ด้วยมูลฐานเดิมแรกจักรวาล ยุคเริ่มต้นมี สสารมืด (Dark matter) จำนวนมาก หากตั้งเงื่อนไขโดยสมมุติว่า อนุภาคในจักรวาล 90% นั้น เกิดจากมวล (Mass) ในวันนี้กาแล็คซี่ขนาดใหญ่ต้องมีสสารมืด แฝงตัวอย่างมั่นคงในมวลสสารด้วย เริ่มตั้งแต่กับสสารสามัญ (Ordinary matter) ที่ปรากฎอยู่ของกาแล็คซี่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา สสารสามัญกลับเข้ามารวมกัน เขตด้านในพื้นที่กาแล็คซี่ (Galaxy's inner) ส่วนหลงเหลือของสสารมืดจำนวนมากจึงกระเจิงออกไปนอก เขตรัศมี แต่สำหรับ Proto-galaxies ยังมีส่วนผสมระหว่างสสารมืดและสสารสามัญ ความสำคัญที่ต่างกันภายในขอบเขต Proto-galaxies ไม่มีนัยของธาตุใดๆภายใน เช่น Hydrogen – Helium ซึ่งการระเบิดตัวของ Big bang ก่อให้เกิด Hydrogen Helium และธาตุหนัก จำนวนมากจาก Thermonuclear fusion เป็นปฏิกิริยาต้อง อาศัยความร้อนมหาศาล ในการรวมนิวเคลียสของธาตุเบา ได้ธาตุที่หนัก และมี เสถียรภาพมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นปฎิกิริยาในดาวต่างๆ แต่กลับไม่ปรากฎใน Proto-galaxies ตั้งแต่การก่อตัวดาวดวงแรก การสำรวจดาว เกิดใหม่ ใน Milky way พบว่าทั้งหมดมี ธาตุหนัก ซึ่งเรียกว่า Population I stars อุดมสมบูรณ์ด้วย Metal-rich (ธาตุโลหะ) ส่วนดาวเก่าแก่ พบว่า Metal-rich พร่อง ลงมาก เรียกว่า Population II stars ส่วนดาวที่ไม่มี Metal-rich เลยแม้แต่น้อย ซึ่งถือว่าเป็น ดาวกำเนิดชั้นแรกสุด เรียกว่า Population III stars |
| ||
Population II stars ในกระจุกดาวเก่าแก่ มีลักษณะสีเหลือง ส้ม หรือแดงจัด |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น