ชีวิตความลับของดวงดาว ตอน : The End of Stars [หน้า 2 /4]

 
   ชีวิตความลับของดวงดาว ตอน : The End of Stars [หน้า 2 /4]
 
 
การแสดงตนเป็น Red giant star ของดวงอาทิตย์ มีผลกระทบสู่ระบบข้างใกล้
 
 
แสดงตนเป็น ดาวยักษ์สีแดง
Red giant stage


การหลอมละลายของ Hydrogen เป็นตัวก่อให้เกิดพลังงานความร้อน ที่จะรักษา
สมดุลยเพื่อความอยู่รอดของชีวิตดวงดาว ถึงเวลาหนึ่งแล้ววัตถุดิบหมดไปเปรียบ
เหมือนขาดเชื้อเพลิง จึงหยุดการหลอมละลาย แต่ดวงดาวยังต้องดิ้นรนต่อสู้

การที่จะต้องอยู่รอด เมื่อแกนในไม่สามารถต้านทานแรงดึงดูดได้หดตัวลง ฉะนั้น
การรักษาสมดุลยเริ่มเกิดเผาไหม้ผุดขึ้นสู่ด้านนอกที่มีก๊าซเหลืออยู่ เป็นขบวนการ
เผาไหม้ข้ามชั้น ขนาดดาวเริ่มต้นขยายตัวใหญ่ขึ้น เรียกว่า Subgiant

เวลาต่อมาการเผาไหม้ก็ยังดำเนินอย่างไม่ลดละ ด้วยจำนวนของก๊าซภายนอก
ยังเพียงพอ รังสีของแสงสว่างจากดาวนั้น ค่อยๆเพิ่มขนาดขึ้นไปอีกจากการเผา
ไหม้ภายนอก ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า Red giant

หากเกิดกับดวงอาทิตย์แล้ว จะมีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกมากกว่า 100 เท่าจากรัศมี
มีแสงสว่างมากกว่า 1,000 เท่า จากปัจจุบันวันนี้ สิ่งที่จะพบคำตอบภายในโครง
สร้างของดวงอาทิตย์ จากการขยายตัวเป็นขนาดที่ใหญ่โตขึ้น เพราะหลังจาก
Hydrogen หมดไปเพราะนำไปผลิต Helium และ Helium คือต้นเหตุ เถ้าถ่าน
(Ash) เศษซากเหลือจากการหลอมละลาย

ก่อนหน้านี้ ก๊าซที่ล้อมรอบอยู่ มีแต่ Hydrogen บริสุทธิ์ มากมายอุดมสมบูรณ์
การหลอมละลายไม่เคยย้อนกลับ ด้วยสมดุลยของระบบ และมี Hydrogen ห่อหุ้ม
เป็นเปลือกของแกนอยู่ แต่เมื่อถึงระยะนี้ เปลือกของ Hydrogen ก็ถูกเผาไปด้วย
เรียกว่า Hydrogen shell burning จนร้อนเท่ากับแกนกลางภายใน จึงทำให้เกิด
แสงสว่างอย่างมากมายขึ้น

ระบบภายในไม่สามารถรักษาสมดุลย เก็บรักษาพลังงานไว้ได้ เพราะมีขนาดที่
มหาศาลขึ้นตามลำดับ เปรียบได้เป็นความร้อนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่สะสมทวีคูณ
ถูกผลักออกสู่ภายนอก เราจึงเห็นขนาดการขยายตัวขึ้นของดาว โดยเป็นปฏิกิริยา
ของมวลที่หดตัวในส่วนลึก จากเศษซากซึ่งเหลืออยู่ภายในแกน
 
 
การเกิด Red giant star ระบบภายใน จะเปลี่ยนไปจากเดิมจากการหลอมละลาย
   
 
เวลาที่ผ่านพ้นไป การขยายตัวเกิดขึ้นอย่างสุดขั้ว จากการเผาไหม้หลอมละลาย
เศษซากของ Helium ภายในแกนกลางเรียกว่า Helium-burning star โดยมีการ
ตอบสนองความร้อนตามอัตราการหลอมละลาย

กระทั่งอัตราดังกล่าวเริ่มลงถอยลง ใกล้เวลาที่จะไม่มีสิ่งใดเหลืออีกภายในแกน
พลังงานอำนาจแรงดึงดูด จะกระชากตัวให้หดเล็กลง เกิดความหนาแน่นของมวล
วัตถุและความร้อนสูง ขนาดของดาวจะเล็กลงตาม เศษซากของเถ้าถ่าน Helium
เกาะกันกลับสู่แกนใน เป็นวงจรที่เกิดขึ้นอย่างเลวร้ายเพราะระบบทั้งหมดกำลังจะ
ยุติลงเรื่อยๆ

การหลอมละลายดำเนินต่อไป ลุกลามสู่ชั้นนอกถัดขึ้นมา การเผาไหม้ Hydrogen
shell burning ลดถอยลง ไม่ช้านานต่อมา Helium ภายในแกนกลาง ก็หมดลง
เช่นกันและยังมีความร้อนสูงอยู่ คงเหลือแต่แกนที่ถูกเผาไหม้ของ Carbon core
จึงเริ่มต้นการเผาไหม้ขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 2 ลุกลามสู่ Hydrogen shell burning อีก
ครั้ง เรียกว่า Double shell-burning red giant

อย่างไรก็ตามองค์ประกอบที่จะตอบสนองกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของแกนกลางภาย
ในและเปลือก โดยวัดความร้อนได้ราว 100 ล้าน Kelvin เป็นอัตราที่เพียงพอใน
การเริ่มต้นให้เกิดพลังงานอำนาจแรงดึงดูด สู่ด้านบนของผิวพื้นได้

ช่วงการเกิดเราสามารถเห็น Stellar wind (พายุระหว่างดวงดาว) จาก Red giant
มีความหนาแน่นของสสารมากกว่า Solar wind (พายุสุริยะ) แต่พัดผ่านในอัตรา
เชื่องช้ากว่า Solar wind

สำหรับ Low-mass stars อื่นๆทั่วไป การเปลี่ยนวัยสู่ Red giant เป็นไปเหมือน
ดวงอาทิตย์ของเรา ด้วยระยะเวลาขึ้นอยู่กับมวลสสาร โดยดวงดวงอาทิตย์ใช้
เวลาช่วงจะผ่านวัยนี้ ราว 10 พันล้านปี

ส่วน Red giant เกิดขึ้นเก่าแก่ ครั้นดึกดำบรรพ์ของจักรวาลใช้เวลา 14 พันล้านปี
บางกรณี Very Low-mass stars มวลน้อยเกินไปไม่สามารถเกิดความร้อนเพียง
พอในการเผาไหม้หลอมละลาย Helium ได้ ก็จะยุบตัวลงอย่างทุกลักทุกเล ด้วย
ความกดดัน เป็น Helium white dwarf (ดาวแคระขาวฮีเลียม)
 
 
Stellar wind
 
 
แสดงตนเมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้าย
Last gasps

หลังจากมวลสสารของดาว ถูกเผาไหม้ จาก Hydrogen สู่ Helium แล้วไม่ได้ยุติ
เพียงนั้น แกนกลางที่เหลืออยู่ของ Helium ทั้งหมดกลายเป็น Carbon เต็มไป
ด้วยผงเถ้าถ่านที่หนาอัดแน่น

สำหรับดวงอาทิตย์ หลังจากการเผาไหม้ Core helium ไปแล้ว 1,000 พันล้านปี
ก็หมดกำลังลง หมดสิ้นจุดสมดุลย แกนในที่เหลือแต่ เถ้าถ่านของ Carbon จะอยู่
ภายใต้อัดบีบจากแรงดึงดูด อย่างสงบนิ่งรอเวลาอย่างใจเย็น กับสิ่งที่จะเกิดกับตน
ในอนาคตถัดจากนี้

Low-mass stars ก็เช่นกัน ไม่มีพลังอำนาจความร้อนเพียงพอที่จะหลอมละลาย
Carbon ได้แต่จะมีแสงแดด ความสว่างต่อไปอีก 10 พันล้านปี การที่ดาวสามารถ
เผาไหม้ หลอมละลาย Carbon ได้ต้องมีอุณหภูมิ 600 ล้าน Kelvinเป็นความร้อน
กลัวมากเป็นการยุบตัวของความกดดัน และแรงดึงดูดอย่างทุลักทุเล

ยิ่งดาวที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งเพิ่มความทุกลักทุกเลบริเวณชั้นนอกมากขึ้น แสงและรังสี
มวลสสารจะท่วมท้นไหลออกสู่ Stellar wind เกิดจังหวะการสะเทือน ของระบบ
แลกเปลี่ยนความร้อน ระหว่าง Carbon กับภายในของแกน แสดงสู่พื้นผิว

ดาวที่เต็มไปด้วย Carbon เราจึงเรียกว่า Carbon stars (ดาวคาร์บอน) โดยภาพ
รวมของ Carbon stars มีอุณหภูมิราว 2,000-3,000 Kelvin รอบๆบนพื้นผิวดาวมี
Stellar wind พัดอย่างช้าๆ บางครั้งก็หยุดนิ่ง

บางกรณีมีการก่อตัวของอนุภาคเล็กๆที่เป็นผงฝุ่น ลอยไปลอยมาและสู่อวกาศจน
มีลักษณะเป็น เมล็ดฝุ่นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ล่องลอยออกสู่จักรวาล เรียกว่า Carbon
smog เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อชีวิต ที่มีอยู่ในตัวของเรา ทุกคน และชีวิตทั้งหมด
บนโลก พัดพามาด้วย พายุระหว่างดวงดาว
 
 
TT Cygni Carbon stars ถ่ายภาพด้วย Wavelength radio telescopes วงแหวนเปล่งออกมา
คือ Radio emission จาก Carbon monoxide (CO) molecules มีขนาดเส้นผ่าศูนย์ 1,000 ปีแสง
ความหนาวงแหวน ¼ ปีแสง การเผาไหม้เปลือกราว 6,000 ปี ห่างจากโลก 1,500 ปีแสง
 
 
จุดจบสิ้นของดวงอาทิตย์ ยังมีเวลาที่ยาวไกลต่อไปอีกและจะมีความสวยงามมาก
เช่นกัน โดยดวงอาทิตย์จะระเบิดตัวเอง สู่อวกาศ เกิดประดิษฐ์กรรมเปลือกก๊าซ
ขนาดใหญ่มหึมาจาก Carbon core ภายในซึ่งเกิดอ่อนแอไม่มั่นคง ด้วยความร้อน
ที่สูงสะสมอย่างนิ่งเงียบ มาช้านานแล้ว

เป็นการเปล่งรังสี Ultraviolet มีส่วนผสมของ Ionize gas แผ่กว้างขยายตัว มีแสง
ที่สดใส แปลกตาอัศจรรย์ เรียกว่า Planetary nebula ข้อมูลการสำรวจที่ผ่านมา
Low-mass stars อื่นๆ ก็มีเส้นทางชีวิตจุดจบ ที่มีลักษณะเดียวกัน
 
 
Cat's Eye Hubble Remix (Planetary nebula) มีขนาดกว้าง ½ ปีแสง
การสำรวจขณะนี้เรายังไม่เข้าใจโครงสร้างภายในดีพอ
เชื่อว่าดวงอาทิตย์ของเราต่อไปจะเข้าวิถีแบบเดียวกับ Cat's Eye อีกกว่า 5 พันล้านปีข้างหน้า
 
 
ประเภทของ White dwarf
 
 
คำว่า Planetary nebula เป็นความหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Planets (ดาวเคราะห์)
เป็นการตั้งขึ้นจากนักดาราศาสตร์โบราณ ที่ได้สำรวจด้วยกล้องขนาดเล็ก โดยได้
เข้าใจผิดว่าเป็นดาวเคราะห์ ที่มีแผ่นขอบกลม (Disks)

Planetary nebula เกิดขึ้นด้วยความพิสดารไม่มั่นคง ของแกนภายในระเบิดแล้ว
กระจายสู่อวกาศ โดย Nebula (ฝุ่นหมอกอวกาศ) กระจายตัวออกตลอดภายใน
1 ล้านปี จากนั้น Carbon core เย็นตัวลงก็เข้าสู่ชีวิต White dwarf (ดาวแคระขาว)
ที่มีขนาดเล็กและร้อน

ขณะนี้เรายังไม่เข้าใจ ถึงโครงสร้างภายในของเรื่อง แรงดึงดูดและความกดดัน
แต่ทราบว่ามีความร้อน เพราะแกนในจะไม่เย็นลงทันที่ทันใด ต้องใช้เวลานาน
มีความเป็นไปได้ว่า White dwarf มวลของดาวที่มีไม่มากนัก ต้องต่อสู้กันด้วย
ระหว่างแรงดึงดูดและความกดดันได้ไม่นาน จำต้องอาศัยระบบอื่นๆจากดาวที่อยู่
ใกล้เคียงส่งแรงดึงดูดและความกดดัน ผ่านเข้ามาช่วยเกาะยึดกัน (Holds gravity)

ด้วยส่วนใหญ่ดาวต่างๆที่อยู่ในจักรวาลมักเป็น ระบบดาวคู่ (Binary star system) ความเป็นจริงของ White dwarf ที่มีขนาดเล็กมากๆอนาคตจะเย็นตัวด้วยความ
ไม่แน่นอน อาจยุบตัวลงแห้งเหือดเหมือนซากศพ ขั้นสุดท้ายอาจสาบสูญ เหลือแต่
ความว่างเปล่าไม่มีตัวตน มองเห็นเพียง การแผ่รังสีของแสง (Visible light) เท่านั้น
ข้อสำคัญ White dwarf เป็นระบบต้นกำเนิดดั้งเดิมของ Carbon และ Oxygen
เพราะแกนภายในไม่เคยมีความร้อนเพียงพอ ที่จะหลอมละลายธาตุหนักได้เลย
 
 
Double Pulsar เป็นการสำรวจด้วย Radio telescopes เมื่อปี ค.ศ. 2003 พบว่า
มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันด้วย ลักษณะคล้าย Cosmic lighthouses (รังสีส่องออกมาคล้ายแสง
จากประภาคาร) ตรงตาม Einstein's theory of gravity และ General Relativity
 
 
วิถีชีวิตของ Low-mass stars ได้จบฉากละคร ที่ได้แสดงอย่างยาวนานตามระบบ
ที่ควรจะเป็น คงทำนายเวลาไม่ได้แม่นยำหนัก อย่างน้อยทราบแนวทางถึงความ
เป็นไปได้ ของการยุติบทบาท สำหรับดวงอาทิตย์ ที่เป็นต้นแบบในการศึกษาใน
เราไม่แน่ใจนักว่า นาทีสุดท้ายจะหายสาบสูญ หรือจะมีดาวอื่นเข้ามาช่วยเกาะยึด
ระบบแบบ Holds gravity

แต่สิ่งที่เราทราบล่วงหน้าในขณะนี้ หากดวงอาทิตย์ สู่วิถีชิวิต White dwarf ปัญหา
คือระบบแรงดึงดูด ที่ยึดเกาะกันของดาวเคราะห์ ที่เหลืออยู่ใน ระบบสุริยะ หายไป
ดาวเคราะห์น้อย วัตถุขนาดเล็ก ที่มีอยู่นับล้านชิ้น เกิดการพลัดหลงวงโคจรไปด้วย
เกิดโกลาหลครั้งใหญ่ ท่ามกลางความมืดในระบบสุริยะ
 
 
White dwarf SDSS 1228+1040 ยังมีความร้อนอยู่ พบว่า มีดาวเคราะห์น้อย
จำนวนมากพลัดหลงเข้าใกล้ โคจรล้อมรอบคล้ายเป็นวงแหวน
 
 
ภาพจาก Computer simulation ของ White dwarf star
แสดงตนหมดอายุขัย และสิ้นชีพแล้ว
(โดยใช้คอมพิวเตอร์จำนวน 768 processors รวมเวลา Run 58,000 ชั่วโมง)
 
 
แสดงตน เป็นซากศพบั้นปลายชีวิตแห่งดวงดาว
The end of Low-mass stars


การวิเคราะห์ด้วย 3D Computer simulation ในห้องปฏิบัติการเชื่อว่า White
dwarf stars จะกดอัดบีบตัว (สีน้ำเงินแสดงถึง พื้นผิวดาวเดิม) เหลือเพียงเท่ากับ
โลกแต่ความหนาแน่นของมวล มากกว่าดวงอาทิตย์ ด้วยองค์ประกอบภายในเป็น
เหล็ก (Iron) ชนิดเดียวกับที่พบมากมายในจักรวาล หรือ คล้ายกับประเภท Ia supernovas โดยมีอุณหภูมิความร้อนบนพื้นผิวเพียง 10,000 Kelvin จากที่เคย
มีถึงนับล้าน Kelvin แต่เราไม่ทราบถึงผลในเรื่องพลังงาน

รูปแบบก่อนสิ้นชีวิต แสดงถึงล่องลอยการผุดขึ้นมากของ ซากเถ้าถ่านจากจุด
ศูนย์กลาง (Nuclear ash) เกิดขนาดก้อนฟองที่ทะลักขึ้นมา (สีส้มอมน้ำตาล)
เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ไมล์ หลังจากนั้นเพียง 1 นาที ขยาย ขนาดเป็น 1,200 ไมล์
และเกิดจุดอื่นๆต่อไปอีก ด้วยเสียงระเบิดดังต่อเนื่อง ความหายนะเกิดขึ้นจาก
กลไกของตนเอง ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียง 3 นาที ในการแสดงตนสู่การจบสิ้นชีวิต

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น